How to รับมืออาการ “แพ้น้ำ” ต้นตอของปัญหาผิวและสิว และวิธีกู้ผิวให้กลับมาแข็งแรง

How to รับมืออาการ “แพ้น้ำ” ต้นตอของปัญหาผิวและสิว และวิธีกู้ผิวให้กลับมาแข็งแรง

อาการแพ้น้ำนับเป็นปัญหาผิวที่กวนใจใครหลาย ๆ คน เพราะเป็นปัจจัยที่ควบคุมได้ยาก บางครั้งเราก็ไม่มีทางรู้ว่าน้ำที่ต้องใช้ล้างหน้านั้นสะอาดมากน้อยแค่ไหน อาการแพ้น้ำนำมาซึ่งปัญหาผิวหลายอย่าง ไม่ว่าจะเป็นอาการระคายเคือง ผดผื่นคัน รวมถึงสิว หากใครที่กำลังเผชิญกับปัญหานี้อยู่ล่ะก็อย่าเพิ่งท้อ เพราะวันนี้เราได้รวบรวม How to รับมือกับอาการแพ้น้ำแบบง่าย ๆ มาให้แล้ว

อาการแพ้น้ำเกิดจากอะไร

อาการแพ้น้ำ หมายถึง การที่ผิวของเราไม่สามารถปรับตัวให้เข้ากับน้ำที่เราสัมผัส ก่อให้เกิดอาการระคายเคืองตามผิวหนัง ผดผื่นคัน เป็นสิว หรือบางรายอาจถึงขั้นผิวหนังบวมแดงเพราะแพ้อย่างรุนแรง ส่วนมากมักเกิดกับคนที่มีผิวแพ้ง่าย และจะเกิดขึ้นเวลาที่เราต้องไปสัมผัสกับน้ำต่างที่ต่างถิ่น เช่น เวลาไปเที่ยวที่อาจจะต้องใช้น้ำจากหลากหลายแหล่งที่มา ไม่ว่าจะเป็นน้ำบาดาล หรือน้ำประปาท้องถิ่นซึ่งอาจไม่สะอาด มีสารปนเปื้อน อาจมีความเป็นกรดด่างต่างจากน้ำที่เคยใช้ปกติ หรือหากใครโชคร้ายแพ้น้ำที่ตัวเองใช้อยู่เป็นประจำทุกวัน ก็อาจเกิดเป็นสิวเรื้อรังซึ่งกวนใจมาก ๆ อาการแพ้น้ำส่วนมากมักเกิดหลังจากผิวได้สัมผัสน้ำไปสักระยะ ไม่ค่อยแสดงอาการในทันที ดังนั้น เราควรหาวิธีป้องกันไว้แต่เนิ่น ๆ เพราะผิวมีอาการแพ้น้ำแล้ว นั่นหมายความว่า ผิวของเราอาจจะสัมผัสสิ่งเจือปนในน้ำมาสักระยะหนึ่งเเล้วนั่นเอง

รับมือยังไงถ้าเกิดอาการแพ้น้ำ

รับมือยังไงถ้าเกิดอาการแพ้น้ำ

 

เมื่อเกิดอาการแพ้น้ำ คงจะเป็นเรื่องยากถ้าเราจะเปลี่ยนน้ำทั้งหมดที่นำมาใช้ชำระล้างร่างกาย แต่ก็ยังมีวิธีหรือตัวช่วยอื่น ๆ ที่ง่ายกว่า แถมยังช่วยลดอาการแพ้น้ำได้ด้วย

ผิวรู้สึกระคายเคืองต่อน้ำอยู่แล้ว ทางที่ดีเราควรเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่อ่อนโยนต่อผิวไว้ก่อน หลีกเลี่ยงสบู่อาบน้ำหรือผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่มีค่า pH สูงหรือต่ำเกินไป ส่วนใหญ่ผิวหน้าและผิวกายของเราจะมีค่า pH อยู่ที่ 4.7 – 5.75 ซึ่งการเลือกใช้ผลิตภัณฑ์ที่เป็นกรดมากไป หรือเป็นเบสมากไปจะส่งผลให้ผิวของเราเสียสมดุล ส่งผลให้เกิดปัญหาผิวต่าง ๆ ตามมา ดังนั้น แนะนำให้เลือกใช้สูตรที่ค่า pH มีความสมดุลต่อผิว เช่น pH ที่ 5.5 รวมถึงสามารถเลือกสูตรที่ช่วยลดการอักเสบ และช่วยเพิ่มความแข็งแรงให้กับผิว จากนั้นหลังล้างหน้าหรืออาบน้ำเสร็จ อาจใช้น้ำเกลือหรือโทนเนอร์เช็ดผิวร่วมด้วย

เพราะจะเป็นการรบกวนผิว ทำให้ผิวหนังบอบบางยิ่งขึ้น การสครับผิวจะทำให้รูขุมขนเปิดกว้าง นั่นหมายความว่าสิ่งสกปรกจะเข้าสู่ผิวของเราได้ง่ายมากขึ้น นำมาสู่อาการแพ้หรือเป็นสิวอักเสบได้

เราอาจจะเปลี่ยนน้ำทั้งหมดไม่ได้ แต่เราลด หรือหลีกเลี่ยงการใช้น้ำที่ทำให้เกิดอาการแพ้ได้ โดยการเลือกใช้ฝักบัวที่มีคุณสมบัติช่วยกรองสารปนเปื้อนที่มากับน้ำอย่าง “ฝักบัวกรองคลอรีน KUDOS TUBU”

  • ฝักบัวที่ออกแบบมาเพื่อเสริมสร้างสุขภาพผิวและผมโดยเฉพาะ มาพร้อมกับฟิลเตอร์ ช่วยกรองคลอรีนอิสระคงเหลือในน้ำก่อนที่จะมาสัมผัสโดนผิว ช่วยลดอาการแพ้น้ำ เผยผิวสุขภาพดีได้อย่างมั่นใจ
  • ฝักบัวออกแบบให้สายน้ำไหลแรงแต่ยังคงความนุ่มละมุน ไม่ทำร้ายผิวและเส้นผม ช่วยปกป้องโปรตีนชั้นผิวให้ยังคงอยู่ ไม่ทำให้ผิวและผมแห้ง
  • ดีไซน์ดูโมเดิร์น เข้าได้กับห้องน้ำหลากหลายสไตล์ ช่วยอัพลุคห้องน้ำ พร้อมใช้วัสดุมีคุณภาพ แข็งแรงทนทาน
  • ฝักบัวให้สายน้ำไหลแรงชุ่มฉ่ำ แต่ยังคงช่วยประหยัดน้ำ
  • การันตีด้วยรางวัล Good Design Award (G-Mark) จากประเทศญี่ปุ่น

เน้นใช้ยาทาโดยเฉพาะในบริเวณที่เกิดอาการแพ้ หากผิวมีอาการแพ้น้ำ ควรงดใช้ครีมบำรุงผิวที่มีส่วนผสมของน้ำหอม แอลกอฮอล์ พาราเบน มิเนอร์รัลออยล์ ซิลิโคน หรือสีสังเคราะห์ เป็นต้น นอกจากนี้ควรใช้ยาทาเพื่อลดอาการระคายเคืองบริเวณผิวที่มีอาการแพ้น้ำโดยเฉพาะ

รวมวิธีกู้ผิวให้กลับมาแข็งแรง

1. รักษาความสะอาดของผิว

ขั้นตอนการล้างหน้านับเป็นขั้นตอนสำคัญอันดับแรกที่จะช่วยลดการระคายเคืองของผิวหนังได้ หากสาว ๆ คนไหนที่ต้องแต่งหน้าเป็นประจำทุกวัน ก็ควรใช้ผลิตภัณฑ์ล้างเครื่องสำอางล้างทำความสะอาดก่อนเป็นสเต็ปแรก จากนั้นจึงล้างหน้าด้วยน้ำสะอาดและผลิตภัณฑ์ล้างหน้าที่อ่อนโยนเหมาะกับสภาพผิวของเรา ไม่ควรล้างหน้าด้วยน้ำอุ่นจัดหรือเย็นจัดเกินไป เพราะจะยิ่งทำให้เกิดอาการระคายเคือง หลังเสร็จจากขั้นตอนนี้อาจใช้น้ำเกลือสำหรับทำความสะอาดแผลเช็ดทำความสะอาดผิวอีกครั้งเพื่อป้องกันการระคายเคืองแบบครบสูตร

2. หลีกเลี่ยงการสครับหน้า หรือสิ่งที่รบกวนผิว

การสครับเป็นการรบกวนผิวอย่างแรง เพราะผิวหนังจะยิ่งบอบบาง รูขุมขนยิ่งถูกเปิดกว้าง นอกจากนั้นระหว่างที่มีอาการแพ้น้ำควรงดสิ่งที่จะรบกวนผิว เช่น การเลเซอร์ การกรอผิว การลอกหน้า เป็นต้น

3. รับประทานผัก ผลไม้ เสริมวิตามินให้ผิว และดื่มน้ำมากๆ

นอกจากจะดูแลผิวจากภายนอกแล้ว ภายในก็ต้องดูแลด้วยเช่นกัน เพราะบางทีอาการแพ้น้ำอาจเกิดจากการที่ภูมิคุ้มกันของเราไม่แข็งแรง ทำให้ผิวอ่อนแอ ดังนั้นจึงควรเสริมวิตามินธรรมชาติให้กับผิวด้วยการทานผักและผลไม้ที่มีประโยชน์ เช่น กล้วยมีโพแทสเซียม ช่วยให้ผิวสุขภาพดี ส้มมีวิตามินซีช่วยเสริมระบบภูมิคุ้มกันและกระตุ้นการสร้างคอลลาเจน มะละกอมีวิตามินเอและเอนไซม์ปาเปนช่วยกักเก็บความชุ่มชื้น เป็นต้น พร้อมดื่มน้ำให้เพียงพอ ก็จะช่วยเสริมให้ผิวมีความชุ่มชื้นได้มากขึ้น

4. รับประทานอาหารเสริมความแข็งแรงให้กับผิว

หรือถ้าใครชอบความสะดวก อยากเสริมผิวให้ยิ่งปัง แนะนำให้ทานอาหารเสริมจำพวกวิตามิน C กระตุ้นระบบภูมิคุ้มกัน ช่วยบำรุงผิวให้สวยใสเสริมสร้างคอลลาเจน วิตามิน B โดยเฉพาะ B3 และ B5 ที่จะช่วยให้ผิวดูกระจ่างใส เปล่งปลั่ง

เป็นอย่างไรบ้าง ทีนี้พอจะหายกังวลใจเรื่องอาการแพ้น้ำบ้างหรือยัง เราอาจจะเปลี่ยนน้ำที่ต้องใช้ชำระล้างร่างกายไม่ได้ แต่เราสามารถลดความเสี่ยงได้ตั้งแต่ต้น นั่นคือหลีกเลี่ยงการสัมผัสน้ำที่มีสิ่งปนเปื้อน ซึ่งวิธีง่าย ๆ นั่นก็คือใช้ตัวช่วย เช่น ฝักบัวที่มีคุณสมบัติกรองสารปนเปื้อนอย่างคลอรีนที่มากับน้ำได้ อย่าง KUDOS TUBU ฝักบัวกรองคลอรีนที่นับว่าตอบโจทย์มาก ๆ ทั้งนี้อย่าลืมล้างหน้าให้สะอาด และทานของมีประโยชน์ เพื่อเสริมสร้างภูมิคุ้มกันของผิวควบคู่ไปด้วย เพียงเท่านี้เราก็สามารถอวดผิวสวยได้อย่างมั่นใจแล้ว

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *