เปลี่ยนบ้านเป็นสมาร์ทออฟฟิศ ปรับพื้นที่ทำงานให้ลงตัวได้ง่าย ๆ ด้วย 6 เทคนิคนี้

เปลี่ยนบ้านเป็นสมาร์ทออฟฟิศ ปรับพื้นที่ทำงานให้ลงตัวได้ง่าย ๆ ด้วย 6 เทคนิคนี้

การทำงานแบบ work from home ดูเหมือนจะกลายเป็น new normal ของคนทำงานในยุคปัจจุบันไปแล้ว การทำงานที่บ้านนอกจากจะช่วยป้องกันการแพร่ระบาดของโควิด-19 แล้ว ยังมีงานวิจัยบอกมาว่า work from home จะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพได้ถึง 13% และลดอัตราการลาออกได้ถึง 50% อีกด้วย รวมถึงโลกในยุคปัจจุบันที่คนเราเชื่อมถึงกันได้ด้วยอินเตอร์เน็ต การมีออฟฟิศขนาดใหญ่ก็ไม่จำเป็นเสมอไป การทำบ้านให้เป็นโฮมออฟฟิศ ดูจะเป็นทางเลือกใหม่ของที่ทำงานในยุคนี้ แทนที่การเช่าตึกขนาดใหญ่

การจัดพื้นที่ในบ้านหรือโฮมออฟฟิศ ให้เป็นที่ทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ จึงเป็นโจทย์สำคัญในการทำงานยุคใหม่ และนี่คือ 6 เทคนิค ที่จะช่วยให้บ้านของคุณเป็นสมาร์ทออฟฟิศ เพื่อการทำงานที่เต็มประสิทธิภาพของคุณ

1. จัดสรรพื้นที่เพื่อทำงานเท่านั้น

ถึงแม้จะทำงานที่บ้าน ก็ควรแบ่งพื้นที่ส่วนใดส่วนหนึ่งของบ้านไว้สำหรับทำงานเป็นกิจลักษณะโดยเฉพาะ ห้องทำงานนั้นต้องไม่แคบเกินไปจนรู้สึกอึดอัด เพราะความรู้สึกอึดอัด จะส่งผลต่อความคิดสร้างสรรค์ และทำลายบรรยากาศที่ดีในการทำงาน

เปลี่ยนบ้านเป็นสมาร์ทออฟฟิศ ปรับพื้นที่ทำงานให้ลงตัวได้ง่าย ๆ ด้วย 6 เทคนิคนี้

ถ้าไม่มีห้องว่างในบ้าน ก็ควรหามุมสงบมุมหนึ่งของบ้านเพื่อเป็นพื้นที่ทำงาน การแบ่งพื้นที่เป็นสัดส่วนจะช่วยปรับสภาพจิตใจของเราให้พร้อมและมีสมาธิสำหรับการทำงานมากขึ้น เช่นเดียวกับการจัดวางข้าวของที่เกี่ยวกับงานทั้งหมดไว้ในพื้นที่นั้น ไม่ควรนำของที่ไม่เกี่ยวข้องเข้ามาในพื้นที่ทำงาน

สิ่งสำคัญอีกข้อหนึ่งคือ อย่าทำงานบนเตียงนอน แม้ว่ามันจะดูสะดวกสบาย แต่การทำงานบนเตียง ในระยะยาว จะทำให้ปวดหลังจากการนั่งที่ไม่ถูกสุขลักษณะ ประสิทธิภาพการทำงานจะลดลง รวมถึงร่างกายจะนอนหลับได้ยากขึ้นอีกด้วย

2. แสงสว่างต้องเพียงพอ

แสงสว่างมีผลต่ออารมณ์ และความรู้สึกของมนุษย์ แสงธรรมชาติคือแสงที่ดีที่สุด แต่ถ้าเราไม่สามารถหามุมของบ้านที่สามารถรับแสงธรรมชาติได้ ก็ควรติดตั้งหลอดไฟที่ให้แสงสว่างอย่างทั่วถึง การทำงานในพื้นที่ที่มีแสงสว่างเพียงพอ จะช่วยลดอาการตาล้าจากการมองจอคอมพิวเตอร์ และลดความเครียดได้ ในขณะที่การทำงานในที่ที่มีแสงสว่างไม่เพียงพอ ทำให้เราต้องใช้สายตามากขึ้น ก่อให้เกิดอาการตาล้า ตาพร่า และปวดหัวหรือปวดไหล่ได้

Smart Office การมีโคมไฟตั้งอยู่หลังกล้องเว็บแคม ให้แสงไฟนั้นส่องมาที่หน้าเรา จะช่วยให้คุณดูดีขึ้นเวลาออกกล้องได้

สำหรับคนที่ต้องวิดีโอ คอล หรือ เปิดกล้องเพื่อประชุมออนไลน์ อยู่เสมอ การมีโคมไฟตั้งอยู่หลังกล้องเว็บแคม ให้แสงไฟนั้นส่องมาที่หน้าเรา จะช่วยให้คุณดูดีขึ้นเวลาออกกล้องได้ สร้างความมั่นใจในการทำงานให้มากขึ้น

นอกจากนี้ การติดตั้งระบบไฟอัจฉริยะ (smart lighting) ที่มีเซนเซอร์และ AI ที่คำนวณและปรับแสงสว่างให้เหมาะสมก็จะช่วยให้สมาร์ทออฟฟิศของคุณ เป็นสถานที่ทำงานได้เต็มประสิทธิภาพและช่วยลดการใช้พลังงานที่ไม่จำเป็นลงได้เช่นกัน

3. นั่งทำงานต้องนั่งสบาย

การนั่งทำงานบนเก้าอี้ไม้ เก้าอี้พลาสติก หรือ เก้าอี้สตูลที่ไม่มีพนักพิง 6 – 8 ชั่วโมงต่อวัน ไม่ใช่ทางเลือกที่ดีสำหรับหลังของคุณอย่างแน่นอน และอาจนำไปสู่อาการปวดกล้ามเนื้อบริเวณ คอ บ่า และสะบัก หรือออฟฟิศซินโดรมได้

ควรเลือกใช้เก้าอี้เพื่อสุขภาพ (Ergonomic Chair) ที่มีพนักพิงสำหรับหลังและคอ รวมถึงมีที่พักแขนและข้อศอก ที่ออกแบบตามหลักสรีรศาสตร์ เก้าอี้ควรปรับระดับสูงต่ำได้ เพื่อให้การนั่งของคุณรู้สึกสบายที่สุด เพื่อสุขภาพที่ดีในการทำงาน

4. ตกแต่งห้องด้วยพืชสีเขียว

ในทางจิตวิทยา สีเขียว เป็นสีที่ให้ความรู้สึก สงบ ร่มเย็น สามารถผ่อนคลายความเครียด และกระตุ้นความคิดสร้างสรรค์ได้เป็นอย่างดี การมีพื้นที่สีเขียวบนโต๊ะหรือในพื้นที่ทำงานจึงเป็นทางเลือกที่น่าสนใจ ลองหาไม้กระถางเล็ก ๆ มาตั้งไว้บนโต๊ะทำงาน เพื่อให้คุณได้พักสายตาจากการจ้องมองจอคอมพิวเตอร์ จะช่วยให้คุณทำงานได้อย่างสดชื่นขึ้นตลอดวัน

สมาร์ทออฟฟิศ - การใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฮมอย่าง เครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศ

นอกจากการมีพื้นที่สีเขียวที่ช่วยส่งผลในทางจิตวิทยาแล้วนั้น การใช้อุปกรณ์สมาร์ทโฮมอย่าง เครื่องตรวจวัดคุณภาพอากาศ จะช่วยให้คุณสามารถมั่นใจได้ว่า พื้นที่สีเขียวของคุณนั้น มีคุณภาพอากาศที่ดีและเหมาะสมกับการนั่งทำงานทั้งวันจริง ๆ

5. ตกแต่งพื้นที่ทำงานที่บ่งบอกความเป็นตัวคุณ

สิ่งแวดล้อมมีผลต่อประสิทธิภาพการทำงานอย่างมาก การตกแต่งพื้นที่ทำงาน ด้วยภาพวาด ภาพถ่าย หรือของตกแต่งที่คุณชอบ จะช่วยให้คุณรู้สึกผ่อนคลายและมีความสุข และความสุขนี้จะทำให้การทำงานได้มีประสิทธิภาพมากขึ้น การ Work From Home ก็เปิดโอกาสให้คุณสามารถแต่งพื้นที่ทำงานของตัวเองได้อย่างเต็มที่ โดยไม่ต้องกังวลสายตาของเพื่อนร่วมงานอีกด้วย 

6. ใช้ Digital Transformation ให้เป็นประโยชน์

สิ่งสำคัญในการทำงานแบบดิจิทัลคืออินเตอร์เน็ต คุณควรติดอินเตอร์เน็ตความเร็วสูง ที่มีความเร็วในการดาวน์โหลดขั้นต่ำที่  10 Mbps และความเร็วขั้นต่ำในการอัพโหลดอยู่ที่ 3 Mbps นั่นคือความเร็วพื้นฐานที่ทำให้การวิดีโอคอล หรือ การประชุมแบบเปิดกล้องคุยเป็นไปอย่างไม่สะดุด

สำหรับใครที่มีที่ทำงานห่างจากเราเตอร์อินเตอร์เน็ต และไม่สามารถเข้าถึงสัญญาณอินเตอร์เน็ตได้เต็มที่แนะนำให้ใช้เครื่องขยายสัญญาณไวไฟ จะช่วยให้การทำงานออนไลน์ของคุณมีประสิทธิภาพมากยิ่งขึ้น นอกจากนี้ การเก็บข้อมูลเป็นไฟล์ดิจิทัลไว้ใน Cloud จะช่วยลดพื้นที่ในการเก็บเอกสารลงอย่างมาก และเป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อม เพราะลดการใช้กระดาษลง เหมาะสำหรับโฮมออฟฟิศขนาดเล็ก ที่ช่วยประหยัดพื้นที่ และค่าใช้จ่ายเรื่องอุปกรณ์สำนักงานได้เป็นอย่างดี

เปลี่ยนบ้านเป็นสมาร์ทออฟฟิศ เพิ่มประสิทธิภาพในการทำงาน

นี่คือ 6 เทคนิคที่จะช่วยให้การ work from home และการจัดโฮม ออฟฟิศ ของคุณมีประสิทธิภาพมากขึ้น สอดคล้องกับ new normal ในการทำงานยุคนี้ได้เป็นอย่างดี เพื่อการทำงานที่มีความสุขของทุกคน

ใส่ความเห็น

อีเมลของคุณจะไม่แสดงให้คนอื่นเห็น ช่องข้อมูลจำเป็นถูกทำเครื่องหมาย *